การเติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ของเทคโนโลยี อาจทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกตั้งคำถามว่า จะอยู่รอดภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ได้อย่างไร ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ยากเลย นั่นคือ การรู้จักมองหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงและริเริ่มที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์
เพราะสิ่งสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักให้ธุรกิจค้าปลีกควรหันมาสนใจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคือ เทคโนโลยีช่วยรักษาพื้นที่ทางการตลาดเดิม และเพิ่มเติมพื้นที่พร้อมโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาได้ ด้วยการเลือกแนวทางบริหารจัดการลูกค้ารูปแบบใหม่ ที่มีความเข้าใจพฤติกรรมการซื้อ ไปพร้อม ๆ กับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งในปัจจุบันพบว่า การเข้าสู่ยุคดิจิทัลไม่ได้พัฒนาเพียงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังมีตัวช่วยทางธุรกิจอีกมากมาย ที่จะทำให้ธรุกิจค้าปลีกสามารถพัฒนาให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืนได้ โดยที่ไม่ต้องเสียพื้นที่ทางการตลาดไป
เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า ธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะจึงต้องเกิดขึ้น
โลกของเทคโนโลยียุคใหม่ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกช่องทางการชำระเงินด้วยตนเอง การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์และรอรับสินค้าที่บ้านโดยที่ไม่ต้องเดินทางให้มีค่าใช้จ่าย การเลือกซื้อสินค้าในช่วงโปรโมชัน หรือเลือกรับสิทธิพิเศษจากแคมเปญต่าง ๆ รวมไปถึงความสะดวกในการส่งคืนสินค้าทางออนไลน์ ประสบการณ์เหล่านี้สร้างเป็นพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยรูปแบบใหม่ ที่กระตุ้นความต้องการซื้อและการตัดสินใจซื้อให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นในทางตรงกันข้าม ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกจึงควรเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาสร้างสรรค์ธุรกิจที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีความยืดหยุ่น รองรับความต้องการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart Retail) เพื่อการวางรากฐานความมั่นคงทางธุรกิจตั้งแต่วันนี้และเติบโตสู่อนาคต
ธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะ จากรูปแบบการขายในฝัน สู่โลกแห่งความเป็นจริง
ใครจะคิดว่าภาพการทำธุรกิจค้าปลีก ที่ผู้ประกอบการหลายคนเคยใฝ่ฝันว่า อยากขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย และนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ได้จากที่บ้าน และจากทุกที่จะเกิดขึ้นจริง เพราะการขายที่แสนจะง่ายดายนี้ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในอดีต จะเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย
แต่เมื่อกาลเวลาเดินทางมาสู่ยุคดิจิทัลเช่นในปัจจุบัน ที่เราต้องผ่านประสบการณ์ท้าทายทางเศรษฐกิจมามากมาย เทคโนโลยีก็ค่อย ๆ เจริญงอกงามและส่งผลให้เราได้พบกับความฝันในโลกความจริง ที่ทำให้เราต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี ที่นับวันจะยิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดดมากขึ้น ดังนั้นการสร้างธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะเพื่อรองรับพฤติกรรมการซื้อรูปแบบใหม่ของลูกค้า จึงเป็นการเลือกใช้โอกาสได้อย่างถูกจังหวะ
โดยธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะจะยังคงเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการในรูปแบบดั้งเดิม เพิ่มเติมคือการใส่ความอัจฉริยะลงไป ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี IoT, เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G, ระบบคลาวด์, ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับกลุ่มลูกค้า เช่น การเข้ารับบริการที่สาขาโดยทำการนัดหมายผ่านการสแกนใบหน้า การให้บริการตู้อัตโนมัติ (Vending) ที่สามารถซื้อสินค้าและชำระเงินแบบง่าย ๆ และการชำระเงินผ่านช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายอย่างสูงสุด เป็นต้น
โดยประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการค้าปลีกอัจฉริยะคือ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดต้นทุนในการดำเนินการ และสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกปริมาณมากของลูกค้าไว้ได้ในพื้นที่ปลอดภัย
รับมือลูกค้ายุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีส่งเสริมการขายที่ตรงใจลูกค้าทุกกลุ่ม
จุดประสงค์ของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมค้าปลีก คือ ช่วยสร้างความยั่งยืนและราบรื่นให้แก่ธุรกิจ เพราะในบางครั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สภาพแวดล้อม นโยบายทางการเงิน และภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ ก็ทำให้ธุรกิจค้าปลีกได้รับผลกระทบจนต้องหยุดให้บริการ การนำเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาส่งเสริมการขาย จึงเป็นทางออกที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถอยู่รอด และดำเนินกิจการต่อไปได้ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ายุคใหม่ที่นิยมการซื้อสินค้าผ่านการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมค้าปลีกจึงต้องเปลี่ยนโฉมการให้บริการใหม่ ด้วยการพัฒนาร้านค้าปลีกอัจฉริยะ ที่หมายถึง “วิวัฒนาการของร้านค้าปลีกทั่วไป ในโลกยุคใหม่ที่ทุกอย่างเชื่อมต่อเข้าหากัน” และเพื่อให้บริบทใหม่นี้สามารถใช้เป็นแนวทางสู่ความก้าวหน้าทางธุรกิจ ซึ่งเทคโนโลยีต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้ประกอบการควรพิจารณานำมาใช้งาน
1.ใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G เป็นเรื่องจริงที่เราถูกแวดล้อมไปด้วย Internet of Thing (IoT) แต่สำหรับธุรกิจค้าปลีกแบบอัจฉริยะ ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การพัฒนาธุรกิจจะไม่สามารถราบรื่นได้เลย หากขาดหัวใจสำคัญอย่างเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของ IoT ให้การรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
5G คือ เทคโนโลยีที่มีความโดดเด่นด้านความรวดเร็วในการอัปโหลดและดาวน์โหลด ช่วยให้การเชื่อมต่อมีความเสถียรและมีศักยภาพที่มากขึ้น สามารถนำไปใช้สนับสนุนการพัฒนาของระบบ AI ให้กับธุรกิจค้าปลีก อีกทั้งยังช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทำได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
ยกตัวอย่างการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เพียงผู้ประกอบการติดตั้งเซนเซอร์ที่มีเทคโนโลยี 5G คอยสนับสนุน ก็จะสามารถรับข้อมูลแบบเรียลไทม์ของสินค้าคงคลังที่มีอยู่จริง รวมไปถึงข้อมูลของลูกค้าที่เข้าใช้บริการในแต่ละวัน และข้อมูลการจัดอันดับสินค้าที่มีลูกค้าให้ความสนใจมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับปรุงการให้บริการ และการเลือกสรรสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงใจ
2.ใช้ AI เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเราพูดถึงศักยภาพของเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ที่ช่วยสนับสนุนให้ AI สามารถพัฒนาระบบให้มีความอัจฉริยะมากขึ้น ด้วยการป้อนข้อมูลให้กับ AI ได้ในจำนวนที่ไม่จำกัด โดยที่การโอนย้ายข้อมูลจะไม่เกิดการสะดุด หรือไม่หยุดชะงัก อีกทั้งการนำ AI มาใช้ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก
เพราะผู้ประกอบการสามารถใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ประวัติการซื้อสินค้า และพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าได้ เปรียบเสมือนว่ามีนักการตลาดส่วนตัวมาคอยสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้ผู้ประกอบการนำการประมวลผลไปพัฒนาธุรกิจ สร้างแคมเปญ และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงเป้าหมายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ AI ยังช่วยผู้ประกอบการดูแลงานฉากหน้า อย่างการทำหน้าที่เป็น Chatbot คอยกล่าวต้อนรับและตอบคำถามลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจในการให้บริการ อีกทั้งงานหลังบ้านอย่างการจัดหมวดหมู่สินค้า หรือการทำสต็อกสินค้า AI ก็สามารถช่วยผู้ประกอบการแบ่งประเภทสินค้า เช็กสินค้าคงคลัง และติดแท็กสินค้าแบบอัตโนมัติได้
หรือการนำเทคโนโลยียุคใหม่อย่างชั้นวางสินค้าอัจฉริยะเข้าช่วยดำเนินงานภายในร้าน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะนี่คือเทคโนโลยีที่ผสมผสานไปด้วยความชาญฉลาดของ AI เชื่อมต่อกับเซนเซอร์ IoT ผ่านการสนับสนุนของเครือข่ายเทคโนโลยี 5G ส่งผลให้ชั้นวางสินค้าสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนสินค้าคงคลัง เมื่อสินค้าขาดสต็อกได้ สามารถวิเคราะห์ความต้องการและช่วยให้ผู้ประกอบการปรับราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า ช่วยลดจำนวนสินค้าที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้รับความสนใจให้น้อยลงหรือหมดไป และช่วยประมวลผลถึงความพร้อมของสินค้าบนชั้นภายในร้านก่อนเปิดให้บริการ
3.เพิ่มระบบอัตโนมัติเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ ระบบอัตโนมัติจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจได้ โดยระบบอัตโนมัติจะเข้ามาแทนที่การทำงานแบบซ้ำ ๆ ในแต่ละวันของมนุษย์ เช่น ตู้บริการตนเอง หุ่นยนต์ทำความสะอาด เครื่องชำระเงินด้วยตนเอง หุ่นยนต์ตรวจสอบชั้นวางสินค้าเพื่อการจัดการคลังสินค้า เครื่องสแกนผลิตภัณฑ์ ระบบขนย้ายสินค้าแบบอัตโนมัติ และระบบเรียกค้นและจัดเก็บแบบอัตโนมัติ เป็นต้น โดยจากข้อมูลของ McKinsey & Company พบว่า “52% ของกิจกรรมทั้งหมดในธรุกิจค้าปลีก สามารถจัดการได้ด้วยระบบอัตโนมัติผ่านเทคโนโลยีที่มีอยู่” ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
4.ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) เพื่อเข้าสู่โลกเมตาเวิร์ส เมตาเวิร์ส (Metaverse) ได้รับนิยมเป็นอย่างมากหลังจากเกิดภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข เทคโนโลยีนี้ช่วยเปิดพรมแดนที่ถูกปิดกั้นในโลกจริงให้หมดไปในโลกเสมือน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับสโตร์ต่าง ๆ ได้ทั่วโลก และสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าได้ทั้งแบบออนไลน์ และสั่งซื้อจากสโตร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ โดยลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการ อย่างการค้นหานาฬิกาข้อมือ โดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อเปรียบเทียบนาฬิกาในสโตร์กับข้อมือของลูกค้า หรือในสโตร์ที่ให้บริการห้องทดลองสินค้าเสมือนจริง พบว่าสามารถสร้างความพึงพอใจและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
โดยในปัจจุบันพบว่า มีการนำ “กระจกอัจฉริยะ” เข้ามาใช้งานในห้องทดลองสินค้าเสมือนจริง ที่ไม่เพียงช่วยสะท้อนภาพลูกค้ากับสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมเอา AI เข้ามาใช้งานร่วมด้วย ภายในห้องทดลองสินค้าเสมือนจริงจึงสามารถโต้ตอบกับลูกค้า ช่วยแนะนำสินค้าและบริการที่เหมาะสม และยังมีระบบช่วยแชร์ภาพลูกค้าคู่กับสินค้าชิ้นโปรดบนโซเชียลมีเดียอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะสร้างประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นให้กับลูกค้าแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อ และความต้องการกลับมาใช้บริการในครั้งต่อ ๆ ไป
จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีเพื่อการสร้างธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะ ช่วยยกระดับให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เป็นการวางรากฐานสำคัญให้กับอุตสาหกรรมและธุรกิจค้าปลีก อีกทั้งยังสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ต่อยอดไปสู่การเติบโตขึ้นทางธุรกิจอย่างมั่นคง และสำหรับผู้ประกอบการที่ยังคงลังเลและไม่กล้าตัดสินใจว่า จะไปต่อในธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะดีหรือไม่ AIS Business ไม่ปล่อยให้คุณต้องโดดเดี่ยวในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เราพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนทุกอุตสาหกรรมค้าปลีก ด้วยโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ที่มีคลื่นมากที่สุด ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์มจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก และให้บริการด้าน ICT Solution อย่างครบวงจร เพื่อช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้อุตสาหกรรมค้าปลีกของไทยพัฒนาไปสู่มาตรฐานใหม่ที่มีความมั่นคงมากกว่าเดิม
วันที่เผยแพร่ 20 กันยายน 2566
Reference
AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"
ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : business@ais.co.th
Website : https://www.ais.th/business
สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก AIS Business เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ทันที