การ์ทเนอร์ เปิดโผ 5 เทคโนโลยีที่ CIO ต้องลงทุนในปี 2565

              สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาจนย่างเข้าปีที่ 3 ได้ตอกย้ำบริบทใหม่ของการดำเนินธุรกิจยุคชีวิตวิถีใหม่ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจาก “New Normal Disruption” ที่จะเข้ามาผสานอยู่ในทุกมิติของการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ติดปีกความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเร่งเครื่องการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับธุรกิจ

การ์ทเนอร์ เปิดโผ 5 เทคโนโลยีที่ CIO  ต้องลงทุนในปี 2565

ข้อมูลรูปภาพจาก : https://www.gartner.com/en/articles/it-budgets-are-growing-here-s-where-the-money-s-going

              จากรายงานผลสำรวจของการ์ทเนอร์ “Gartner CIO and Technology Executive Survey” ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจาก CIO และผู้บริหารด้านไอทีใน 85 ประเทศ จำนวนกว่า 2,300 คน ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักๆ ที่มีรายได้รวมกันประมาณ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีตัวเลขการใช้จ่ายด้านไอที 1.98 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดการณ์ว่าในปี 2565 ตัวเลขงบค่าใช้จ่ายด้านไอทีจะเพิ่มขึ้นอีก 3.6% ถือว่าเติบโตมากสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และหากเจาะมาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตัวเลขนี้จะเพิ่มสูงถึง 3.9%

              หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจลงทุนด้านไอทีที่เพิ่มขึ้น ก็คือ เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาขับเคลื่อนการก้าวไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ (Composable Business) ช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดปลอดภัยและรับมือกับความผันผวนอันเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สงครามการค้า ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในองค์กร

              ทั้งนี้ Monika Sinha รองประธานฝ่ายวิจัย ของการ์ทเนอร์ เผยว่า 63% ของผู้บริหารตำแหน่ง CIO ในองค์กรที่มีการนำข้อมูลมาใช้ช่วยการตัดสินใจในระดับสูง ระบุว่าบริษัทมีผลประกอบการในปีที่ผ่านมาเหนือกว่าคู่แข่งและบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างมาก และสามารถสร้างช่องทางมูลค่าใหม่ๆ ได้จากเทคโนโลยีที่ลงทุนไปอีกด้วย

การ์ทเนอร์ เปิดโผ 5 เทคโนโลยีที่ CIO  ต้องลงทุนในปี 2565

              สำหรับเทคโนโลยีมาแรง (Emerging Technology) ที่ติด 5 อันดับแรกซึ่งบรรดา CIO องค์กรชั้นนำ วางแผนติดตั้งหรือนำมาใช้งานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ได้แก่

              อันดับ 1 ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) และการเรียนรู้พฤติกรรมของเครื่อง Machine Learning (ML) จากผลสำรวจพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีการลงทุนถึง 48%  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ/มนุษย์ ให้ข้อมูลเชิงลึก และเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์แนวโน้มต่าง ๆ

              อันดับ 2 ระบบคลาวด์แบบกระจาย Distributed Cloud จากผลสำรวจพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีการลงทุน 44%  โดยขยับการลงทุนจากบริการคลาวด์สาธารณะแบบเดิมที่รวมศูนย์ ไปสู่การกระจายตัวไปยังดาต้าเซ็นเตอร์หลายๆ แห่ง ตอบโจทย์เรื่องกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงเพื่อลด Latency จากการส่งข้อมูล ทั้งนี้ ผู้ให้บริการคลาวด์ต้นทางยังคงมีหน้าที่ควบคุม กำกับดูแล ปรับปรุง และพัฒนาบริการ

              อันดับ 3 เทคโนโลยีรวมความสามารถของ Security หลายรูปแบบในที่เดียว เพิ่มความปลอดภัยให้ทุกการเชื่อมต่อขององค์กร Secure Access Service Edge (SASE) จากผลสำรวจพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีการลงทุน 32% การลงทุนสำหรับสถาปัตยกรรมเครือข่ายและความปลอดภัยใหม่สำหรับธุรกิจ เป็นการรวมโซลูชันในการทำงานและการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ให้มาทำงานร่วมกันบนคลาวด์ ช่วยให้ฝ่ายไอทีขององค์กรสามารถให้บริการแบบองค์รวมที่คล่องตัวและปรับเปลี่ยนได้รองรับธุรกิจดิจิทัล

              อันดับ 4 การเพิ่มความสามารถให้คลาวด์หรือนำหน่วยประมวลผล ติดตั้งในพื้นที่ที่ใกล้กับการใช้งานเพื่อลดระยะทางระหว่างอุปกรณ์ Edge Computing จากผลสำรวจพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีการลงทุน 27% ในส่วนของ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดวางการประมวลผลข้อมูลและการรวบรวมและนำเสนอคอนเทนต์ไว้ใกล้จุดต้นทาง หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูล เพื่อลดความหน่วง ช่วยให้การประมวลผลและใช้งานข้อมูลรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มอำนาจในการควบคุมและตัดสินใจให้กับระบบที่อยู่ส่วนขอบของเครือข่าย

              อันดับ 5 แพลตฟอร์มการพัฒนาแบบหลายประสบการณ์ Multi-Experience Development Platform จากผลสำรวจพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีการลงทุน 25% เพื่อรองรับเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงของประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ในส่วนที่เกี่ยวกับวิธีที่ผู้ใช้รับรู้และสัมผัสกับโลกดิจิทัล รวมถึงวิธีการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับโลกดิจิทัล ในรูปแบบใหม่ๆ และผ่านแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้น สนับสนุนการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลให้กับผู้ใช้ อีกทั้งเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับองค์กรธุรกิจ

              ผลสรุปที่ได้รับจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารองค์กรระดับเอ็นเตอร์ไพรส์จากทั่วโลกฉบับนี้ ยังสอดคล้องกับ Top Strategic Technology Trends ที่การ์ทเนอร์เผยแพร่ไว้เมื่อปีก่อนหน้า ซึ่งเน้นย้ำว่าการวางแผนนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้องค์กร ต้องคำนึงถึงโจทย์สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่

การ์ทเนอร์ เปิดโผ 5 เทคโนโลยีที่ CIO  ต้องลงทุนในปี 2565
  1. การยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง People Centricity
  2. การทำงานจากที่ใดก็ได้ Location Independence
  3. การปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ Resilient Delivery

              ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อมุ่งสร้างความพร้อมให้กับองค์กร ในการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการตัดสินใจที่รวดเร็วจากข้อมูล ด้วยการเข้าถึงข้อมูลมหาศาลที่องค์กรมีอยู่ได้ง่ายขึ้นและตอบสนองอย่างฉับไว ไม่ติดขัดจากระบบงานที่ยืดเยื้อ ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งของระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

              ภายใต้แนวคิดการวางแผนลงทุนด้านไอที สำหรับองค์กรที่จะเก็บเกี่ยวความได้เปรียบของ Digital Transformation ด้วยการปรับรูปแบบการทำธุรกิจสู่การพึ่งพาข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจทางธุรกิจ (Composable Business) การรวบรวมความสามารถทางธุรกิจที่สร้างขึ้นจากโครงสร้างข้อมูลที่มีความยืดหยุ่น มีการแบ่งข้อมูลเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อวิเคราะห์ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลาย มีความคล่องตัวในการใช้งาน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สนับสนุนให้สามารถออกแบบ Business Model ใหม่ บริการใหม่ สร้างช่องทางรายได้ใหม่ เพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการทำงานและการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าและบริบททางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้องค์กรยุคใหม่อยู่รอด และสามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้ ท่ามกลางกระแสคลื่นของโลกยุค New Normal ที่จะยังต่อเนื่องไปแม้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด

              สำหรับลูกค้าองค์กรในยุคที่ปัจจุบันเทคโนโลยี Cloud Computing เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ดิจิทัล ที่กำลังเผชิญโจทย์ข้อใหญ่ในการยกระดับความมันคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ท่ามกลางบริบทการทำงานแบบ Remote Working จากแรงกดดันของสถานการณ์โควิด โซลูชันด้านความปลอดภัย Cloud Security ปกป้องการใช้งานคลาว์ด ทั้งในแบบ Private, Public หรือ Hybrid จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

              สิ่งเหล่านี้กำลังสร้าง “ความท้าทาย” สำหรับองค์กรที่ต้องเตรียมพร้อมในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงขององค์กรเพื่อเกาะติดโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในการเลือกใช้เทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ ภายใต้การบริหารต้นทุนที่เหมาะสม และมีความปลอดภัย

              AIS Business และ CSL มั่นใจศักยภาพที่จะสนับสนุนกลุ่มลูกค้าองค์กร จากประสบการณ์ตรงในการสนับสนุนองค์กรธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เราพร้อมให้คำแนะนำ และนำเสนอโซลูชันที่หลากหลาย ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ทั้งด้วยจุดแข็งในการเป็นผู้ให้บริการ One Stop ICT Service ที่ผสานกับศักยภาพของเครือข่าย 5G AIS ที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เรามีความเข้าใจและพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรได้อย่างครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีและการให้บริการดิจิทัลที่หลากหลายครบครัน โดยทีมงานที่ไว้ใจได้ในความสามารถอย่างมืออาชีพ

วันที่เผยแพร่ 19 มกราคม 2566

Reference

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : business@ais.co.th
Website : https://www.ais.th/business

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อแนะนำโซลูชันที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ 

สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก AIS Business เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล 
สำหรับรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ทันที